วันเสาร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2562

การเปลี่ยนแปลงในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่4


พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่4

           พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงตระหนักดีว่า จะต้องทำการปรับเปลี่ยนระบบการเมืองการปกครอง  สังคม  และเศรษฐกิจ  ทรงพยายามปฏิบัติในรูปแบบอุดมการณ์ของชาติตะวันตก  เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้พวกชาติตะวันตกเอาจุดด้อยเหล่านี้มาเป็นข้ออ้างในการเข้าแทรกแซงกิจการภายในประเทศไทย กล่าวได้ว่าตลอดระยะเวลาการครองราชย์ของพระองค์ในเวลา17 ปี ทรงพยายามปรับปรุงระเบียบประเทศในเรื่องต่างๆให้เท่าทันอารยะประเทศอยู่ตลอดเวลา  โดยมีกลุ่มข้าราชบริพารที่มีความรู้ ความสามารถในวิทยาการสมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์อัครมหาเสนาบดีสมุหพระกลาโหม  ถือเป็นกำลังหลักสำคัญในการปฏิวัติประเทศโดยปราศจากการนองเลือดและความรุนแรงแบบพวกหัวรุนแรงทางการเมือง  และการวางรากฐานการปฏิวัตินี้เองของพระองค์ถือเป็นรากฐานสำคัญให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ได้ทรงทำการปฏิรูปประเทศอันเป็นที่รู้จักกันดีในเวลาต่อมา

  • บริบททางการเมืองการปกครอง

     สาเหตุการปรับปรุงการปกครองสมัยรัชกาลที่ 4    ทรงได้รับแนวคิดจากชาวตะวันตก ซึ่งพระองค์ได้สัมผัสและทรงคุ้นเคยตั้งแต่ครั้งยังผนวชอยู่โดยการปฏิรูปศาสนาและเพื่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้า และเป็นพื้นฐานที่จะได้มีการเปลี่ยนแปลงในโอกาสต่อไป เพื่อรักษาเอกราชของประเทศชาติให้พ้นจากจักรวรรดิตะวันตก ที่กำลังขยายอิทธิพลเข้ามาในประเทศไทยในขณะนั้น   ในสมัยรัชกาลที่ 4 เริ่มมีการปฏิรูปประเพณีที่เกี่ยวกับการปกครองบางประการ ได้แก่

1.การใช้กฎหมาย

    1.1การออกคำชี้แจงต่างๆ เรียกว่า ประกาศรัชกาลที่ 4 [1]เพื่อให้ประชาชนได้รับข่าวสาร ระเบียบแบบแผนการปฏิบัติของผู้คนในสังคมอย่างถูกต้อง และทรงทำการปรับตัวบทกฎหมาย เพราะกฎหมายตราสามดวง ที่ไทยเคยใช้อยู่ไม่สามารถนำมาใช้บังคับได้ทั้งหมด เนื่องจากชาวต่างชาติมักใช้เป็นข้ออ้างอยู่เสมอว่า กฎหมายไทยป่าเถื่อนล้าสมัย กฎหมายบางข้อไม่ยุติธรรมหรือบางครั้งรุนแรงเกินกว่าเหตุ ทรงตราพระราชกำหนดกฎหมายใหม่ และออกประกาศข้อบังคับต่างๆ ถือว่าเป็นกฎหมายเช่นเดียวกันรวมทั้งหมดประมาณ 500 ฉบับ   นอกจากนี้ยังมีประกาศต่าง ๆ ที่มีผลบังคับใช้เหมือนกฎหมายอีกมากมาย อาทิ ประกาศให้ ชาวกรุงรับจ้างฝรั่งได้ ประกาศห้ามนำคนในบังคับของชาวต่างชาติมาเป็นทาส ประกาศให้ราษฎรและขุนนางสามารถเป็นเจ้าของละครผู้หญิงได้ เป็นต้น

    1.2 พระองค์ทรงปรับระเบียบวิธีการร้องทุกข์ โดยพระองค์จะเสด็จออกมารับฎีการ้องทุกข์ด้วยพระองค์เองทุกวันโกณ ณ พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ เดือนละ 4 ครั้ง และโปรดเกล้าฯให้ตุลาการ ชำระความให้เสร็จโดยเร็ว ทำให้ผู้ร้องทุกข์ได้รับความยุติธรรมมากขึ้นกว่าแต่ก่อน  จึงให้ประชาชนโอกาสได้ถวายฎีการ้องทุกข์ได้สะดวก

 

2. การพิพากษาคดีและการศาล

2.2 มีการจัดตั้งศาลคดีต่างประเทศหรือศาลต่างประเทศขึ้น เพื่อใช้ว่าความในกรณีที่คนไทยเป็นจำเลย โดยมีเรื่องราวกับชาวต่างชาติ ที่เข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่ในเมืองไทยหรือเข้ามาติดต่อค้าขายกับคนไทย  เป็นนโยบายที่จัดทำเพื่อรักษาอำนาจทางกฎหมายของจำเลยที่เป็นคนไทยควรได้รับการพิจารณาโทษตามแบบหลักกฎหมายไทยเป็นการยับยั้งอำนาจศาลกงสุลต่างประเทศที่อาจจะว่าความไม่เป็นธรรมแก่จำเลยคนไทย  อันเนื่องมาจากการทำสนธิสัญญากับชาติตะวันตกทำให้ไทยเสียไทยเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตคือไม่สามารถว่าความในบังคับของชาวต่างชาติได้ ดังนั้นศาลกงสุลก็ไม่มีสิทธิ์ว่าความในกรณีที่จำเลยเป็นคนไทย เป็นนโยบายการปกครองที่รักษาผลประโยชน์ทางการศาลแก่คนไทย

3. จัดตั้งตำรวจนครบาล

    ได้มีการจัดตั้งตำรวจพระนครบาล(โปลิส ) ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2404 โดยได้จ้างชาวยุโรปและชาวมลายูซึ่งเคยเป็นนายโปลิสมาก่อนมาเป็นครูฝึก นโยบายการจัดตั้งตำรวจนครบาลเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยภายในเขตนครหลวงตามแบบอย่างยุโรปขึ้นเป็นครั้งแรก แต่เนื่องจากเหตุทางการเมืองระหว่างประเทศในสมัยนั้นซึ่งเป็นยุคที่ประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส โปรตุเกส ฮอลันดา กำลังแข่งขันกันหาเมืองขึ้นในทวีปเอเชีย การจัดระเบียบการปกครองประเทศขณะนั้นจึงเพ่งเล็งไปในด้านป้องกันประเทศเป็นหลักใหญ่ ดังนั้นพระองค์จำเป็นต้องทำให้นโยบายตำรวจนครบาลต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายการเมืองระหว่างประเทศและทหารด้วยเป็นธรรมดา

4. การฝึกทหารแบบยุโรป

     ได้จ้าง ร้อยเอกอิมเปย์ Captain Impey [2]ซึ่งเป็นทหารนอกประจำการของกองทัพบกอังกฤษ ประจำประเทศอินเดีย เข้ามาเป็นครูฝึก จัดระเบียบทหารบกใหม่ตามแบบตะวันตก การเรียกชื่อ ยศ ตำแหน่ง และการบอกแถวทหาร ใช้ภาษาอังกฤษทั้งสิ้น จึงเรียกการฝึกทหารหน่วยนี้ว่า ทหารเกณฑ์หัดอย่างยุโรปหรือทหารเกณฑ์หัดอย่างฝรั่ง นโยบายการฝึกทหารมีจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นทหารประจำพระองค์ ซึ่งมีถึง 2 กอง คือกองทหารรักษาพระองค์ปืนปลายหอกข้าหลวงเดิมและกองทหารหน้าต่อมาได้จ้างทหารนอกราชการชาวอังกฤษอีกคนหนึ่งชื่อ ร.อ.โทมัส ยอร์ช นอกซ์ เข้ามาฝึกทหารทำนองเดียวกันกับร้อยเอกอิมเปย์ ให้กับวังหน้าอีกด้วย และในช่วงตอนปลายรัชกาลได้จ้างชาวฝรั่งเศสชื่อ ลามาส เข้ามาฝึกทหารแบบยุโรปแต่ใช้ภาษาฝรั่งเศส การฝึกทหารที่กล่าวมานี้เป็นการฝึกเพื่อใช้เป็นทหารรักษาพระองค์เท่านั้น การป้องกันประเทศยังคงใช้วิธีเดิมทั้งสิ้น

       นโยบายการฝึกทหารแบบยุโรปจึงเป็นสิ่งไทยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนการทหารจากแบบโบราณให้ทันสมัยแบบยุโรป มีกองทัพ และอาวุธที่ทันสมัย มีระเบียบวินัย และมีประสิทธิภาพในการรบมากขึ้น เป็นการปกครองที่มองการณ์ไกลว่าทหารของไทยจำเป็นต้องปรับปรุงให้เหมือนของชาติตะวันตก

        กิจการทหารเรือ  ทรงโปรดให้เปลี่ยนแปลงเรือรบใหม่ จากเรือกำปั่นรบใช้ใบมาเป็น เรือกำปั่นรบกลไฟและบังคับบัญชาเรือกลไฟหลวง ซึ่งจัดเป็นกรมหนึ่งเรียกว่า กรมอรสุมพล ถือว่าเป็นต้นกำเนิดของกองทัพเรือแห่งราชนาวีไทยในปัจจุบันเรือกลไฟลำแรกของไทยที่ต่อขึ้นในรัชกาลนี้คือ เรือสยามอรสุมพล นอกจากนี้ยังต่อเรือปืนขึ้นอีกหลายลำ อาทิ เรือราญรุกไพรี เรือศรีอยุธยาเดช เป็นต้น และตอนปลายรัชกาลได้ต่อเรือรบขนาดใหญ่ขึ้นคือ เรือสยามูประสดัมภ์ แล้วโปรดให้ตั้ง กรมเรือกลไฟขึ้น

  • บริบททางเศรษฐกิจ

   ในสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงวิธีการค้าขายกับต่างประเทศอย่างมาก ส่งผลตอเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมากที่เคยเป็นแบบยังชีพกลายเป็นพาณิชย์นิยม  ภายหลังจากที่สยามได้ทำ สนธิสัญญาบาวริ่งกับอังกฤษตามข้อกำหนด ของสนธิสัญญา  ส่งผลให้ประเทศ ไทยต้องเพิ่มผลผลิตด้านการเกษตร เช่น ข้าว ไม้สัก ยางพารา ฯลฯ เพื่อส่งไปจำหน่าย ยังต่างประเทศ ดังนั้นความต้องการด้านแรงงานในการเกษตรและ อุตสาหกรรมจึงมีมากขึ้น

  • สาระสำคัญของสนธิสัญญาเบาว์ริ่งที่เกี่ยวกับการค้ามีดังนี้

 1. ลูกค้าจะซื้อสินค้าส่งออกนอกประเทศได้ทุกชนิด โดยเสรีแต่รัฐบาลไทยสามารถสงวนสิทธิที่จะห้ามส่งสินค้าออกนอก  ประเทศได้เมื่อเกิดทุพภิกขภัย 2.พ่อค้าจะนำสินค้าเข้ามาขายในกรุงได้ทุกชนิดนอกจากอาวุธยุทธภัณฑ์ต้องขายให้กับรัฐบาล  เท่านั้นและฝิ่นต้องขายให้กับ เจ้าภาษีฝิ่นเท่านั้น 3. พ่อค้าและลูกค้าสามารถติดต่อซื้อขายกันได้โดยเสรี 4. ยกเลิกค่าธรรมเนียมิ ปากเรือ เปลี่ยนมาเก็บภาษีศุลกากรจากสินค้าขาเข้าร้อยละ 3   

       ผู้แทนทั้งสองฝ่ายได้ลงนาม กันในสนธิสัญญาบาวริ่ง  นับเป็นการวางรากฐานเปิดประตู่สู่ การค้าระหว่างประเทศอย่าง เป็นทางการของไทย และส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ตามมาโดยรัชกาลที่4 ทรงจำเป็นต้องทำสนสัญญานี่เพื่อ เป็นการเจริญความสัมพันธ์ทางไมตรีและทางค้า เป็นอีกหนทางที่จะนำสยามสู่การพัฒนาในภาคหน้าแม้จะเสียเปรียบก็ตามโดยผลที่ตามมาจากการที่พระองค์ดำเนินนโยบายการทำสัญญาดังกล่าวคือ

          ระบบ เศรษฐกิจซึ่งแต่เดิมเป็นการเกษตรที่ผลิตเพื่อ เลี้ยงตนเอง  กลายเป็นการผลิตเพื่อการค้าและมีการ ขยายตัวของตลาดต่างประเทศมากขึ้นตามสนธิ สัญญาบาวริ่ง  สมัยนี้เริ่มมีเงินเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้ากันซึ่งจากเดิมไม่มีใช้เป็นการใช้สินค้าแลกเปลี่ยนกันเอง  จึงมีผลทำให้การซื้อขายสินค้าทั้งภายในและภายนอกประเทศเป็นระบบมากขึ้น  มีการจัดตั้งโรงกษาปณ์เพื่อรับผิดชอบด้านนี้โดยตรง ต่อมามีการจัดระบบการเก็บภาษีอากรให้เป็นแบบแผนมากขึ้น  ในขณะนั้นผลิตข้าวส่งขายได้มากจนมีรายได้เข้าประเทศมาก นับว่าระบบเศรษฐกิจและการค้าขายกับต่างประเทศได้รับการจัดวางระบบตั้งแต่บัดนั้น  โดยเฉพาะข้าวเป็นสินค้าที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจขณะนั้นมาก  มีเรือสินค้ารอบรรทุกข้าวเป็นจำนวน มีกำปั่นต่างประเทศ เข้ามาจอดอยู่ในกรุงเทพ ฯ  ถึง  26  ลำ  กำปั่นไทย 46 ลำ  รวมเป็น 72  ลำ  และระยะเวลาผ่านมาอีกเพียง  15  วัน  มีเรือ สินค้าเพิ่มขึ้นอีกเป็น 84  ลำ [3] เรือเหล่านี้คอยบรรทุก ข้าวแทบทุกลำแสดงให้เห็นว่าการค้าขายข้าวกับต่างประเทศ ขยายตัวไปอย่างกว้างขวางมาก  และรัฐบาลได้ เปิดเสรีทางการค้าระหว่างพ่อค้ากับประชาชน ยกเลิกการผูกขาดตามสนธิสัญญาบาวริ่ง รัฐบาลได้ออกประกาศอนุญาตให้ราษฎรซื้อขายสินค้ากับต่างประเทศได้ดังความตอนหนึ่งว่า  บรรดาราษฎรผู้ใดมีข้าว  ปลา น้ำอ้อย  น้ำตาล  และสินค้าอื่น ๆ เมื่อพอใจจะ ขายกับคนนอกประเทศก็ให้ขายตามชอบใจ โดยสะดวกสบายเถิด[4] ทำให้ราษฎรมีโอกาส ค้าขายได้มากขึ้น

       เมื่อการค้าขายคล่องตัวและพัฒนาขึ้น ทำให้ระบบเศรษฐกิจก้าวสู่แบบใหม่มากขึ้นตามมา มีโรงงานและห้างร้านแบบใหม่เพื่อจำหน่ายและ ผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นในรัชสมัยของพระองค์  อาทิ โรงสีข้าว  มีเครื่องจักรสำหรับสีข้าวเป็นครั้งแรก โรงงานหีบฝ้าย ด้วยเครื่องจักรทำให้ราษฎรผลิตฝ้ายเพิ่มขึ้น มีโรงงานรับซื้อฝ้ายโดยตรง  โรงเลื่อยจักร  ซึ่งใช้เครื่องจักรแทนแรงคนที่แต่เดิมเป็นการเลื่อยด้วยมือ ทำให้ส่งไม้โดยเฉพาะ ไม้สักไปขายต่างประเทศได้มากขึ้น มีการตั้งบริษัทการค้าของชาว ต่างประเทศซึ่งตั้งห้างร้านค้าขายอยู่ในกรุงเทพฯ หลายบริษัท

  • การปรับปรุงภาษีที่ดินและส่งเสริมการเกษตร

         มีการยกเว้นการเก็บภาษีในที่ดินที่บุกเบิกทำนาปีแรก  ส่งเสริมให้ขยายพื้นที่ทำนามากขึ้น ลดหย่อนการเกณฑ์แรงงานในฤดูทำนา  ให้ประชาชนมีเวลาทำนามากขึ้น ขุดคลองเพื่อขยายพื้นที่ และเพิ่มแหล่งน้ำเพื่อทำการเกษตร  รวมทั้ง เพิ่มเส้นทางสัญจรไปด้วย  นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้ปลูกพืชเกษตรชนิดอื่น ๆ เพิ่มเติมนอกเหนือจากข้าว  คือ  ยาสูบ  ฝ้าย  ปอ ผักผลไม้  เพื่อส่งเป็น สินค้าออกให้มีความหลากหลายมากขึ้น กล่าวได้ว่าเป็นการวางรากฐานจัดระบบเศรษฐกิจ แบบใหม่ขึ้นในสังคมสยาม

  • บริบททางสังคม
       จากการที่มีชาวตะวันตกเข้ามาใน ประเทศมากมายในขณะนั้น ส่งผลให้พระองค์ทรงดำเนินนโยบายยอมรับวิทยาการตะวันตกและ ปรับปรุงประเทศตามแบบใหม่มากขึ้น  ด้านสังคมซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการวางรากฐานเพื่อพัฒนาประเทศให้ ก้าวสู่สังคมสมัยใหม่  รัชสมัยของพระองค์ได้ ทรงดำเนินการปรับเปลี่ยนขนบธรรมเนียมประเพณี จารีตปฏิบัติตลอดจนโลกทัศน์ความเชื่อถือ จากเดิมให้เป็นแบบใหม่หลายประการ ได้แก่
    1.  อนุญาตให้ไพร่เสียเงินแทนการถูกเกณฑ์แรงงานเข้ารับราชการลดการเกณฑ์แรงงานไพร่แล้วใช้วิธีการจ้างแรงงาน ทำงานต่าง ๆ แทน   ทำให้ราษฎรมีโอกาสทำงาน ของตนเองและมีอิสระในการประกอบอาชีพ อื่นได้กว้างขวางขึ้น ส่งผลเกิดอาชีพต่าง ๆ ตามมาในสังคมให้เสรีภาพแก่สตรีที่บรรลุนิติภาวะในการเลือกคู่ครองโดยพ่อแม่จะบังคับไม่ได้
    2.  ห้ามพ่อแม่ขายบุตรเป็นทาส   ห้ามสามีขายภรรยาเป็นทาสโดยเจ้าตัวไม่สมัครใจ ให้เสรีภาพแก่สตรีที่บรรลุนิติภาวะในการเลือกคู่ครองโดยพ่อแม่จะบังคับไม่ได้
    3.  ให้นางแอนนา เลียวโนเวนส์ [5]ชาวอังกฤษ ไปสอนภาษาอังกฤษให้กับพระราชโอรสและธิดา ทรงให้ตั้งโรงเรียนขึ้นในพระบรม มหาราชวังเพื่อให้พระราชโอรสและพระราชธิดา และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ได้ศึกษา ภาษาอังกฤษ และต่อมาทรงโปรดให้ศึกษาวิชาการ แขนงต่าง ๆ กว้างขวางขึ้น อาทิ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์  ดาราศาสตร์  ภูมิศาสตร์  ประวัติศาสตร์  โปรดให้สตรีคณะมิชชันนารีผู้สอนศาสนาคริสต์เข้าไปสอนภาษาอังกฤษให้สตรีในราชสำนัก
    4.มีการอนุญาตให้ ข้าราชการฝ่ายในทูลลาออกจากราชการได้ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ คือ อนุญาต ให้เจ้าจอมลาออกจากพระราชวังได้ หากว่าหญิง ใครไม่ได้สมัครใจมาถวายตัว จะขอกลับไปอยู่ กับบิดามารดา พระองค์ก็ทรงโปรดให้ไปตาม ความต้องการ
    5. ด้านสิทธิเสรีภาพของราษฎร พระองค์ ทรงเห็นถึงความเดือดร้อนของราษฎรในการนำ ผู้หญิงมาหัดละคร ซึ่งหลายครอบครัวมิได้เต็มใจ และตัวผู้หญิงเองไม่ต้องการให้งดเว้นการ เกณฑ์ผู้หญิงมาหัดละคร โดยให้หัดเฉพาะ บุตรหลานข้าราชการที่บิดามารดาและญาตินำมา ถวายตัว ห้ามไปนำบุตรหลานข้าราชการที่บิดา มารดาและญาติพี่น้องไม่ยินยอมมาหัดเล่นละคร นับว่าให้เสรีภาพแก่สตรีทางหนึ่งในขณะนั้น
    6. นโยบายสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาชาวตะวันตกก็ได้เริ่มต้นในสมัยนี้หลายด้าน เช่น การให้ข้าราชการและขุนนางสวมเสื้อเวลา เข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์ การอนุญาตให้ชาวต่างประเทศเข้าเฝ้าและเปลี่ยนวิธีการเข้าเฝ้าของ ชาวตะวันตกจากหมอบกราบมาเป็นนั่งเก้าอี้และ การอนุญาตให้คนไทยไปรับจ้างทำงานกับชาว ยุโรปได้ เป็นการให้เสรีภาพในการประกอบอาชีพ ได้แก่เป็นครูสอนภาษาไทยให้แก่ชาวต่างชาติ รับจ้างทำงานในห้างร้าน โรงงาน รับเหมาก่อสร้าง หรือเป็นคนรับใช้ภายในบ้านและรับงานชาวยุโรป มาทำที่บ้านของตนได้ อนุญาตให้ราษฎรเข้าเฝ้าเวลาเสด็จพระราชดำเนินไม่ต้องหลบซ่อนตัวอย่างแต่ก่อนแต่ให้คอยเฝ้ารับเสด็จได้ นับว่าให้สิทธิ เสรีภาพแก่ราษฎรมากขึ้นกว่าเดิมด้วย
               สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ล้วนแต่ส่งผลให้ไทยต้องมีการ ปรับเปลี่ยนด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจและ การดำเนินชีวิต ชองชนชาวสยามจากลักษณะสังคมจารีตแบบเดิม ก้าวไปสู่สังคมแบบใหม่ นับว่าเป็น จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงของไทยในทุกด้าน จากแบบเดิมเข้าสู่แบบใหม่ทั้งในด้านขนบธรรมเนียม ประเพณี กฎเกณฑ์ ต่าง ๆ ทางสังคมและราชสำนัก ตลอดจนความเชื่อ ทัศนคติ การศึกษา การคมนาคม การสาธารณสุข การศาสนาและการ พาณิชย์ รวมทั้งก่อให้เกิดปัญหาภายในประเทศตามมา อาทิ  ปัญหาสังคม ความสัมพันธ์ของบุคคล ค่านิยม วัฒนธรรมและ สินค้าจากต่างประเทศ ธรรมเนียม ปฏิบัติจากเดิมเปลี่ยนไปเป็นแบบตะวันตก ได้เริ่ม ก่อเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4   เป็น รากฐาน ให้ไทยได้พัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ตามมาในสมัยรัชกาลที่ 5 อันที่จริงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ใน สมัยรัชกาลที่ 5 นั้น เนื่องมาจากพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มไว้ก่อน หรืออาจกล่าวได้ว่าพระองค์ได้พระราชทานแนว พระบรมราโชบายไว้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าหลาย ประการของการเปลี่ยนแปลงจากสังคมแบบ เดิมมาสู่สังคมแบบใหม่ได้พัฒนามาอย่าง ต่อเนื่องในรัชกาลต่อมาจนถึงปัจจุบั


[1]  ภารดี  มหาขันธ์ ประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่  หน้า107
[2] ภารดี  มหาขันธ์  ประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่  หน้า118
[3] สุวิชัย   โกศัยยะวัฒน์  การพัฒนาประเทศในสมัยรัชกาลที่ 4 : การวางรากฐานเพื่อก้าวจาก สังคมจารีตลักษณ์สู่สังคมนวลักษณ์ของสยาม หน้า29
[4] สุวิชัย   โกศัยยะวัฒน์   การพัฒนาประเทศในสมัยรัชกาลที่ 4 : การวางรากฐานเพื่อก้าวจาก สังคมจารีตลักษณ์สู่สังคมนวลักษณ์ของสยาม  หน้า31
[5] วิมล วิโรจพันธุ์  ประวัติศาสตร์ชาติไทย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น