พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่4
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักดีว่า จะต้องทำการปรับเปลี่ยนระบบการเมืองการปกครอง สังคม
และเศรษฐกิจ
ทรงพยายามปฏิบัติในรูปแบบอุดมการณ์ของชาติตะวันตก เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้พวกชาติตะวันตกเอาจุดด้อยเหล่านี้มาเป็นข้ออ้างในการเข้าแทรกแซงกิจการภายในประเทศไทย
กล่าวได้ว่าตลอดระยะเวลาการครองราชย์ของพระองค์ในเวลา17 ปี
ทรงพยายามปรับปรุงระเบียบประเทศในเรื่องต่างๆให้เท่าทันอารยะประเทศอยู่ตลอดเวลา โดยมีกลุ่มข้าราชบริพารที่มีความรู้
ความสามารถในวิทยาการสมัยใหม่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์อัครมหาเสนาบดีสมุหพระกลาโหม
ถือเป็นกำลังหลักสำคัญในการปฏิวัติประเทศโดยปราศจากการนองเลือดและความรุนแรงแบบพวกหัวรุนแรงทางการเมือง และการวางรากฐานการปฏิวัตินี้เองของพระองค์ถือเป็นรากฐานสำคัญให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงทำการปฏิรูปประเทศอันเป็นที่รู้จักกันดีในเวลาต่อมา
- บริบททางการเมืองการปกครอง
สาเหตุการปรับปรุงการปกครองสมัยรัชกาลที่
4 ทรงได้รับแนวคิดจากชาวตะวันตก ซึ่งพระองค์ได้สัมผัสและทรงคุ้นเคยตั้งแต่ครั้งยังผนวชอยู่โดยการปฏิรูปศาสนาและเพื่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้า
และเป็นพื้นฐานที่จะได้มีการเปลี่ยนแปลงในโอกาสต่อไป เพื่อรักษาเอกราชของประเทศชาติให้พ้นจากจักรวรรดิตะวันตก
ที่กำลังขยายอิทธิพลเข้ามาในประเทศไทยในขณะนั้น
ในสมัยรัชกาลที่ 4
เริ่มมีการปฏิรูปประเพณีที่เกี่ยวกับการปกครองบางประการ ได้แก่
1.การใช้กฎหมาย
1.1การออกคำชี้แจงต่างๆ
เรียกว่า ประกาศรัชกาลที่ 4 [1]เพื่อให้ประชาชนได้รับข่าวสาร
ระเบียบแบบแผนการปฏิบัติของผู้คนในสังคมอย่างถูกต้อง และทรงทำการปรับตัวบทกฎหมาย เพราะกฎหมายตราสามดวง
ที่ไทยเคยใช้อยู่ไม่สามารถนำมาใช้บังคับได้ทั้งหมด
เนื่องจากชาวต่างชาติมักใช้เป็นข้ออ้างอยู่เสมอว่า กฎหมายไทยป่าเถื่อนล้าสมัย
กฎหมายบางข้อไม่ยุติธรรมหรือบางครั้งรุนแรงเกินกว่าเหตุ
ทรงตราพระราชกำหนดกฎหมายใหม่ และออกประกาศข้อบังคับต่างๆ
ถือว่าเป็นกฎหมายเช่นเดียวกันรวมทั้งหมดประมาณ 500 ฉบับ นอกจากนี้ยังมีประกาศต่าง ๆ
ที่มีผลบังคับใช้เหมือนกฎหมายอีกมากมาย อาทิ ประกาศให้ ชาวกรุงรับจ้างฝรั่งได้
ประกาศห้ามนำคนในบังคับของชาวต่างชาติมาเป็นทาส
ประกาศให้ราษฎรและขุนนางสามารถเป็นเจ้าของละครผู้หญิงได้ เป็นต้น
1.2 พระองค์ทรงปรับระเบียบวิธีการร้องทุกข์
โดยพระองค์จะเสด็จออกมารับฎีการ้องทุกข์ด้วยพระองค์เองทุกวันโกณ ณ
พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ เดือนละ 4 ครั้ง และโปรดเกล้าฯให้ตุลาการ ชำระความให้เสร็จโดยเร็ว
ทำให้ผู้ร้องทุกข์ได้รับความยุติธรรมมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
จึงให้ประชาชนโอกาสได้ถวายฎีการ้องทุกข์ได้สะดวก
2. การพิพากษาคดีและการศาล
2.2 มีการจัดตั้งศาลคดีต่างประเทศหรือศาลต่างประเทศขึ้น เพื่อใช้ว่าความในกรณีที่คนไทยเป็นจำเลย
โดยมีเรื่องราวกับชาวต่างชาติ ที่เข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่ในเมืองไทยหรือเข้ามาติดต่อค้าขายกับคนไทย เป็นนโยบายที่จัดทำเพื่อรักษาอำนาจทางกฎหมายของจำเลยที่เป็นคนไทยควรได้รับการพิจารณาโทษตามแบบหลักกฎหมายไทยเป็นการยับยั้งอำนาจศาลกงสุลต่างประเทศที่อาจจะว่าความไม่เป็นธรรมแก่จำเลยคนไทย อันเนื่องมาจากการทำสนธิสัญญากับชาติตะวันตกทำให้ไทยเสียไทยเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตคือไม่สามารถว่าความในบังคับของชาวต่างชาติได้
ดังนั้นศาลกงสุลก็ไม่มีสิทธิ์ว่าความในกรณีที่จำเลยเป็นคนไทย
เป็นนโยบายการปกครองที่รักษาผลประโยชน์ทางการศาลแก่คนไทย
3.
จัดตั้งตำรวจนครบาล
ได้มีการจัดตั้งตำรวจพระนครบาล(โปลิส
) ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2404 โดยได้จ้างชาวยุโรปและชาวมลายูซึ่งเคยเป็นนายโปลิสมาก่อนมาเป็นครูฝึก
นโยบายการจัดตั้งตำรวจนครบาลเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยภายในเขตนครหลวงตามแบบอย่างยุโรปขึ้นเป็นครั้งแรก
แต่เนื่องจากเหตุทางการเมืองระหว่างประเทศในสมัยนั้นซึ่งเป็นยุคที่ประเทศอังกฤษ
ฝรั่งเศส โปรตุเกส ฮอลันดา กำลังแข่งขันกันหาเมืองขึ้นในทวีปเอเชีย
การจัดระเบียบการปกครองประเทศขณะนั้นจึงเพ่งเล็งไปในด้านป้องกันประเทศเป็นหลักใหญ่
ดังนั้นพระองค์จำเป็นต้องทำให้นโยบายตำรวจนครบาลต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายการเมืองระหว่างประเทศและทหารด้วยเป็นธรรมดา
4. การฝึกทหารแบบยุโรป
ได้จ้าง ร้อยเอกอิมเปย์ Captain Impey [2]ซึ่งเป็นทหารนอกประจำการของกองทัพบกอังกฤษ ประจำประเทศอินเดีย
เข้ามาเป็นครูฝึก จัดระเบียบทหารบกใหม่ตามแบบตะวันตก การเรียกชื่อ ยศ ตำแหน่ง
และการบอกแถวทหาร ใช้ภาษาอังกฤษทั้งสิ้น จึงเรียกการฝึกทหารหน่วยนี้ว่า ทหารเกณฑ์หัดอย่างยุโรปหรือทหารเกณฑ์หัดอย่างฝรั่ง นโยบายการฝึกทหารมีจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นทหารประจำพระองค์
ซึ่งมีถึง 2 กอง คือกองทหารรักษาพระองค์ปืนปลายหอกข้าหลวงเดิมและกองทหารหน้าต่อมาได้จ้างทหารนอกราชการชาวอังกฤษอีกคนหนึ่งชื่อ
ร.อ.โทมัส ยอร์ช นอกซ์ เข้ามาฝึกทหารทำนองเดียวกันกับร้อยเอกอิมเปย์
ให้กับวังหน้าอีกด้วย และในช่วงตอนปลายรัชกาลได้จ้างชาวฝรั่งเศสชื่อ ลามาส
เข้ามาฝึกทหารแบบยุโรปแต่ใช้ภาษาฝรั่งเศส
การฝึกทหารที่กล่าวมานี้เป็นการฝึกเพื่อใช้เป็นทหารรักษาพระองค์เท่านั้น
การป้องกันประเทศยังคงใช้วิธีเดิมทั้งสิ้น
นโยบายการฝึกทหารแบบยุโรปจึงเป็นสิ่งไทยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนการทหารจากแบบโบราณให้ทันสมัยแบบยุโรป
มีกองทัพ และอาวุธที่ทันสมัย มีระเบียบวินัย และมีประสิทธิภาพในการรบมากขึ้น
เป็นการปกครองที่มองการณ์ไกลว่าทหารของไทยจำเป็นต้องปรับปรุงให้เหมือนของชาติตะวันตก
กิจการทหารเรือ ทรงโปรดให้เปลี่ยนแปลงเรือรบใหม่
จากเรือกำปั่นรบใช้ใบมาเป็น เรือกำปั่นรบกลไฟและบังคับบัญชาเรือกลไฟหลวง
ซึ่งจัดเป็นกรมหนึ่งเรียกว่า กรมอรสุมพล
ถือว่าเป็นต้นกำเนิดของกองทัพเรือแห่งราชนาวีไทยในปัจจุบันเรือกลไฟลำแรกของไทยที่ต่อขึ้นในรัชกาลนี้คือ เรือสยามอรสุมพล นอกจากนี้ยังต่อเรือปืนขึ้นอีกหลายลำ
อาทิ เรือราญรุกไพรี เรือศรีอยุธยาเดช เป็นต้น
และตอนปลายรัชกาลได้ต่อเรือรบขนาดใหญ่ขึ้นคือ เรือสยามูประสดัมภ์ แล้วโปรดให้ตั้ง
กรมเรือกลไฟขึ้น
- บริบททางเศรษฐกิจ
ในสมัยรัชกาลที่ 4
เป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงวิธีการค้าขายกับต่างประเทศอย่างมาก ส่งผลตอเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมากที่เคยเป็นแบบยังชีพกลายเป็นพาณิชย์นิยม ภายหลังจากที่สยามได้ทำ
สนธิสัญญาบาวริ่งกับอังกฤษตามข้อกำหนด ของสนธิสัญญา ส่งผลให้ประเทศ ไทยต้องเพิ่มผลผลิตด้านการเกษตร
เช่น ข้าว ไม้สัก ยางพารา ฯลฯ เพื่อส่งไปจำหน่าย ยังต่างประเทศ
ดังนั้นความต้องการด้านแรงงานในการเกษตรและ อุตสาหกรรมจึงมีมากขึ้น
- สาระสำคัญของสนธิสัญญาเบาว์ริ่งที่เกี่ยวกับการค้ามีดังนี้
1. ลูกค้าจะซื้อสินค้าส่งออกนอกประเทศได้ทุกชนิด
โดยเสรีแต่รัฐบาลไทยสามารถสงวนสิทธิที่จะห้ามส่งสินค้าออกนอก ประเทศได้เมื่อเกิดทุพภิกขภัย 2.พ่อค้าจะนำสินค้าเข้ามาขายในกรุงได้ทุกชนิดนอกจากอาวุธยุทธภัณฑ์ต้องขายให้กับรัฐบาล เท่านั้นและฝิ่นต้องขายให้กับ เจ้าภาษีฝิ่นเท่านั้น 3. พ่อค้าและลูกค้าสามารถติดต่อซื้อขายกันได้โดยเสรี 4. ยกเลิกค่าธรรมเนียมิ ปากเรือ เปลี่ยนมาเก็บภาษีศุลกากรจากสินค้าขาเข้าร้อยละ
3
ผู้แทนทั้งสองฝ่ายได้ลงนาม
กันในสนธิสัญญาบาวริ่ง
นับเป็นการวางรากฐานเปิดประตู่สู่ การค้าระหว่างประเทศอย่าง เป็นทางการของไทย
และส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ตามมาโดยรัชกาลที่4 ทรงจำเป็นต้องทำสนสัญญานี่เพื่อ เป็นการเจริญความสัมพันธ์ทางไมตรีและทางค้า
เป็นอีกหนทางที่จะนำสยามสู่การพัฒนาในภาคหน้าแม้จะเสียเปรียบก็ตามโดยผลที่ตามมาจากการที่พระองค์ดำเนินนโยบายการทำสัญญาดังกล่าวคือ
ระบบ
เศรษฐกิจซึ่งแต่เดิมเป็นการเกษตรที่ผลิตเพื่อ เลี้ยงตนเอง กลายเป็นการผลิตเพื่อการค้าและมีการ
ขยายตัวของตลาดต่างประเทศมากขึ้นตามสนธิ สัญญาบาวริ่ง สมัยนี้เริ่มมีเงินเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้ากันซึ่งจากเดิมไม่มีใช้เป็นการใช้สินค้าแลกเปลี่ยนกันเอง จึงมีผลทำให้การซื้อขายสินค้าทั้งภายในและภายนอกประเทศเป็นระบบมากขึ้น
มีการจัดตั้งโรงกษาปณ์เพื่อรับผิดชอบด้านนี้โดยตรง ต่อมามีการจัดระบบการเก็บภาษีอากรให้เป็นแบบแผนมากขึ้น ในขณะนั้นผลิตข้าวส่งขายได้มากจนมีรายได้เข้าประเทศมาก
นับว่าระบบเศรษฐกิจและการค้าขายกับต่างประเทศได้รับการจัดวางระบบตั้งแต่บัดนั้น โดยเฉพาะข้าวเป็นสินค้าที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจขณะนั้นมาก มีเรือสินค้ารอบรรทุกข้าวเป็นจำนวน มีกำปั่นต่างประเทศ เข้ามาจอดอยู่ในกรุงเทพ ฯ ถึง 26 ลำ กำปั่นไทย 46 ลำ รวมเป็น 72 ลำ
และระยะเวลาผ่านมาอีกเพียง 15 วัน มีเรือ สินค้าเพิ่มขึ้นอีกเป็น 84 ลำ [3]
เรือเหล่านี้คอยบรรทุก ข้าวแทบทุกลำแสดงให้เห็นว่าการค้าขายข้าวกับต่างประเทศ
ขยายตัวไปอย่างกว้างขวางมาก และรัฐบาลได้
เปิดเสรีทางการค้าระหว่างพ่อค้ากับประชาชน ยกเลิกการผูกขาดตามสนธิสัญญาบาวริ่ง
รัฐบาลได้ออกประกาศอนุญาตให้ราษฎรซื้อขายสินค้ากับต่างประเทศได้ดังความตอนหนึ่งว่า
“บรรดาราษฎรผู้ใดมีข้าว ปลา น้ำอ้อย
น้ำตาล และสินค้าอื่น ๆ
เมื่อพอใจจะ ขายกับคนนอกประเทศก็ให้ขายตามชอบใจ โดยสะดวกสบายเถิด” [4]
ทำให้ราษฎรมีโอกาส
ค้าขายได้มากขึ้น
เมื่อการค้าขายคล่องตัวและพัฒนาขึ้น
ทำให้ระบบเศรษฐกิจก้าวสู่แบบใหม่มากขึ้นตามมา
มีโรงงานและห้างร้านแบบใหม่เพื่อจำหน่ายและ
ผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นในรัชสมัยของพระองค์
อาทิ โรงสีข้าว
มีเครื่องจักรสำหรับสีข้าวเป็นครั้งแรก โรงงานหีบฝ้าย
ด้วยเครื่องจักรทำให้ราษฎรผลิตฝ้ายเพิ่มขึ้น มีโรงงานรับซื้อฝ้ายโดยตรง โรงเลื่อยจักร
ซึ่งใช้เครื่องจักรแทนแรงคนที่แต่เดิมเป็นการเลื่อยด้วยมือ
ทำให้ส่งไม้โดยเฉพาะ ไม้สักไปขายต่างประเทศได้มากขึ้น มีการตั้งบริษัทการค้าของชาว
ต่างประเทศซึ่งตั้งห้างร้านค้าขายอยู่ในกรุงเทพฯ หลายบริษัท
- การปรับปรุงภาษีที่ดินและส่งเสริมการเกษตร
มีการยกเว้นการเก็บภาษีในที่ดินที่บุกเบิกทำนาปีแรก ส่งเสริมให้ขยายพื้นที่ทำนามากขึ้น
ลดหย่อนการเกณฑ์แรงงานในฤดูทำนา
ให้ประชาชนมีเวลาทำนามากขึ้น ขุดคลองเพื่อขยายพื้นที่
และเพิ่มแหล่งน้ำเพื่อทำการเกษตร รวมทั้ง
เพิ่มเส้นทางสัญจรไปด้วย นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้ปลูกพืชเกษตรชนิดอื่น ๆ
เพิ่มเติมนอกเหนือจากข้าว คือ ยาสูบ
ฝ้าย ปอ ผักผลไม้ เพื่อส่งเป็น
สินค้าออกให้มีความหลากหลายมากขึ้น กล่าวได้ว่าเป็นการวางรากฐานจัดระบบเศรษฐกิจ
แบบใหม่ขึ้นในสังคมสยาม
- บริบททางสังคมจากการที่มีชาวตะวันตกเข้ามาใน ประเทศมากมายในขณะนั้น ส่งผลให้พระองค์ทรงดำเนินนโยบายยอมรับวิทยาการตะวันตกและ ปรับปรุงประเทศตามแบบใหม่มากขึ้น ด้านสังคมซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการวางรากฐานเพื่อพัฒนาประเทศให้ ก้าวสู่สังคมสมัยใหม่ รัชสมัยของพระองค์ได้ ทรงดำเนินการปรับเปลี่ยนขนบธรรมเนียมประเพณี จารีตปฏิบัติตลอดจนโลกทัศน์ความเชื่อถือ จากเดิมให้เป็นแบบใหม่หลายประการ ได้แก่1. อนุญาตให้ไพร่เสียเงินแทนการถูกเกณฑ์แรงงานเข้ารับราชการลดการเกณฑ์แรงงานไพร่แล้วใช้วิธีการจ้างแรงงาน ทำงานต่าง ๆ แทน ทำให้ราษฎรมีโอกาสทำงาน ของตนเองและมีอิสระในการประกอบอาชีพ อื่นได้กว้างขวางขึ้น ส่งผลเกิดอาชีพต่าง ๆ ตามมาในสังคมให้เสรีภาพแก่สตรีที่บรรลุนิติภาวะในการเลือกคู่ครองโดยพ่อแม่จะบังคับไม่ได้2. ห้ามพ่อแม่ขายบุตรเป็นทาส ห้ามสามีขายภรรยาเป็นทาสโดยเจ้าตัวไม่สมัครใจ ให้เสรีภาพแก่สตรีที่บรรลุนิติภาวะในการเลือกคู่ครองโดยพ่อแม่จะบังคับไม่ได้3. ให้นางแอนนา เลียวโนเวนส์ [5]ชาวอังกฤษ ไปสอนภาษาอังกฤษให้กับพระราชโอรสและธิดา ทรงให้ตั้งโรงเรียนขึ้นในพระบรม มหาราชวังเพื่อให้พระราชโอรสและพระราชธิดา และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ได้ศึกษา ภาษาอังกฤษ และต่อมาทรงโปรดให้ศึกษาวิชาการ แขนงต่าง ๆ กว้างขวางขึ้น อาทิ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ โปรดให้สตรีคณะมิชชันนารีผู้สอนศาสนาคริสต์เข้าไปสอนภาษาอังกฤษให้สตรีในราชสำนัก4.มีการอนุญาตให้ ข้าราชการฝ่ายในทูลลาออกจากราชการได้ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ คือ อนุญาต ให้เจ้าจอมลาออกจากพระราชวังได้ หากว่าหญิง ใครไม่ได้สมัครใจมาถวายตัว จะขอกลับไปอยู่ กับบิดามารดา พระองค์ก็ทรงโปรดให้ไปตาม ความต้องการ5. ด้านสิทธิเสรีภาพของราษฎร พระองค์ ทรงเห็นถึงความเดือดร้อนของราษฎรในการนำ ผู้หญิงมาหัดละคร ซึ่งหลายครอบครัวมิได้เต็มใจ และตัวผู้หญิงเองไม่ต้องการให้งดเว้นการ เกณฑ์ผู้หญิงมาหัดละคร โดยให้หัดเฉพาะ บุตรหลานข้าราชการที่บิดามารดาและญาตินำมา ถวายตัว ห้ามไปนำบุตรหลานข้าราชการที่บิดา มารดาและญาติพี่น้องไม่ยินยอมมาหัดเล่นละคร นับว่าให้เสรีภาพแก่สตรีทางหนึ่งในขณะนั้น6. นโยบายสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาชาวตะวันตกก็ได้เริ่มต้นในสมัยนี้หลายด้าน เช่น การให้ข้าราชการและขุนนางสวมเสื้อเวลา เข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์ การอนุญาตให้ชาวต่างประเทศเข้าเฝ้าและเปลี่ยนวิธีการเข้าเฝ้าของ ชาวตะวันตกจากหมอบกราบมาเป็นนั่งเก้าอี้และ การอนุญาตให้คนไทยไปรับจ้างทำงานกับชาว ยุโรปได้ เป็นการให้เสรีภาพในการประกอบอาชีพ ได้แก่เป็นครูสอนภาษาไทยให้แก่ชาวต่างชาติ รับจ้างทำงานในห้างร้าน โรงงาน รับเหมาก่อสร้าง หรือเป็นคนรับใช้ภายในบ้านและรับงานชาวยุโรป มาทำที่บ้านของตนได้ อนุญาตให้ราษฎรเข้าเฝ้าเวลาเสด็จพระราชดำเนินไม่ต้องหลบซ่อนตัวอย่างแต่ก่อนแต่ให้คอยเฝ้ารับเสด็จได้ นับว่าให้สิทธิ เสรีภาพแก่ราษฎรมากขึ้นกว่าเดิมด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น