เทวากับซาตาน
Angels &
Demons เป็นผลงานการเขียนของ
แดน บราวน์ ผู้เขียน The Da Vinci
Code ซึ่งเหตุการณ์ใน Angels & Demons นี้
จะเป็นเหตุการณ์ที่ขึ้นเกิดก่อนเรื่อง The Da Vinci Code แต่ The Da Vinci Code จะเป็นการพูดถึงประเด็นความขัดแย้งในศาสนจักรในยุคของพระเยซูเป็นหลัก และส่วนของ
Angels & Demons เล่นประเด็นความขัดแย้งในความเชื่อของมนุษย์กับวิทยาศาสตร์ที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อตั้งคริสตจักร
เนื้อเรื่องโดยย่อของ Angles & Demons มีอยู่ว่า พระเอกของเรื่องคือ
ศาตราจารย์หนุ่มโรเบิร์ต แลงดอน
นักวิชาการด้านศาสตร์สัญลักษณ์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด บอสตัน อเมริกา
ถูกตามตัวให้ไปช่วยแก้ปัญหาฆาตกรรมที่เกิดขึ้นที่เซิร์น
ศูนย์วิจัยนิวเคลียร์ฟิสิกส์ที่เจนีวา สวิสเซอร์แลนด์
เหยื่อฆาตกรรมเป็นอัจฉริยะนักวิจัย ถูกฆ่าและนาบไฟประทับตรา Illuminati บนหน้าอก จุดประสงค์การฆ่าเพื่อขโมยปฏิสสารเซิร์นซึ่งมีอำนาจทำลายล้างสูงที่เพิ่งถูกค้นพบ
ปฏิสสารนั้นถูกพบว่าไปวางซ่อนไว้มุมหนึ่งในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ นครวาติกัน
โดยมองเห็นจากกล้องวงจรปิดแต่ไม่สามารถหาตำแหน่งของกล้องได้
เงื่อนเวลาคือการที่ปฏิสสารนั้นถูกตั้งเวลาป้องกันการระเบิดไว้เพียง 24
ชั่วโมงถ้าถูกนำออกจากที่เก็บ
นางเอกเป็นลูกสาวของเหยื่อฆาตกรรมและเป็นผู้มีส่วนในการคิดค้นปฏิสสารนั้น
พระเอกและนางเอกร่วมกันเดินทางไปที่วาติกันและเผชิญสถานการณ์ที่คริตจักรกำลังปั่นปวนเพราะสันตะปาปาเพิ่งถูกฆาตกรรมเมื่อสิบห้าวันที่แล้วและในวันนั้นเป็นวันที่มีพิธีคัดสรรสันตะปาปาองค์ใหม่
หากปฏิสสารเกิดระเบิดขึ้นมา วาติกันจะถูกทำลาย
การก่อการร้ายครั้งนี้เป็นการทำงานของกลุ่มอิลลูมิเนติ (Illuminati) กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ฝั่งตรงข้ามคริสตจักรที่มีประวัติถูกคริสตจักรทำลายล้างไปเมื่อหลายศตวรรษก่อน
ครั้งนี้เป็นปฏิบัติการล้างแค้นคริสตจักร
กลุ่มอิลลูมิเนติจับตัวพระคาร์ดินัลตัวเก็งสันตะปาปาองค์ใหม่ไปเป็นเหยื่อการล้างแค้น
4 รูป โดยมีการระบุเวลาและสถานที่ที่จะทำการฆ่า
เรื่องราวดำเนินไปในการไล่ล่าเพื่อหยุดยั้งฆาตกรรมนั้นแต่ปมปัญหาคือสถานที่ที่ถูกระบุมาเป็นเพียงคำพูดไม่เจาะจงพระเอกต้องอาศัยความสามารถในการวิเคราะห์ตีความแล้วติดตามไปยังสถานที่เหล่านั้น
เรื่องราวตื่นเต้นขึ้นเป็นลำดับ
จนมาถึงไคลแมกซ์ในตอนสุดท้ายที่จบเรื่องได้อย่างหักมุมและสวยงาม
Illuminati อิลลูมินาติ
Amibigram” ซึ่งมีความสมมาตร
และอ่านกลับหัวไปมาได้ ของคำว่า illuminati และสี่ธาตุสมัยโบราณ
(ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ)
คำว่า Illuminati นั้น ถ้าแปลกันแบบตรงตัวแล้วก็จะหมายถึง ‘ผู้ที่มีสติปัญญาอันล้ำเลิศ’ ซึ่งบางที่ก็กล่าวว่าสแรกเริ่มเดิมทีนั้นก่อตั้งมาอย่างลับๆ
โดยการรวมตัวกันของเหล่านักวิทยาศาสตร์ในยุคเรืองอำนาจของศาสนจักร
ในนวนิยายสืบสวนสอบสวนโดนเฉพาะเรื่องเทวากับซาตาน
หรือแม้กระทั่งทฤษฎีสมคบคิดต่างๆ
นั้นก็มักจะเกี่ยวโยงกับชื่อของกลุ่มอิลลูมินาติอยู่เสมอ และมีความเชื่อกันว่ากลุ่มนี้มีความเกี่ยวข้องของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
เศรษฐกิจ และเหตุการณ์ใหญ่ๆ ของโลกแทบจะทุกครั้ง
ด้วยแนวคิดที่คิดแบ่งแยกและเป็นภัยต่อศาสนจักรนั้น
ทำให้อิลลูมินาติถูกตามล่าอย่างหนักจากเหล่าคริสจักร
และถูกกล่าวหาว่าเป็นลัทธิซาตาน โดยเฉพาะความเชื่อที่ว่าโลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล
และโดยเฉพาะ ‘ทฤษฎี บิกแบง’ ที่ขัดกับความเชื่อในเรื่องพระเจ้าสร้างโลกมากที่สุด โดยแรกเริ่มเดิมทีนั้น
คริสตจักรเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสิ่ง
แต่นักวิทยาศาสตร์ก็เชื่อว่าสสารไม่มีวัน เกิดขึ้นมาจากความว่างเปล่าได้
และว่ากันว่ากาลิเลโอ
ผู้ค้นพบว่าโลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาลและหมุนรอบดวงอาทิตย์นั้น
คือหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มอิลลูมินาติอีกด้วย
ในนิยายได้มีการเชื่อมโยงว่ากาลิเลโอเป็นสมาชิกของ
illuminati โดยเขาได้มีการทิ้งร่องรอยไว้ในหนังสือ “ไดอะแกรมมาเดลลาเวริตา” เอกสารฉบับนี้ถูกนี้ระบุว่ามันถูกเก็บอยู่ในหอจดหมายเหตุลับของวาติกัน(Vatican Secret Archives) อันเป็นสถานที่เก็บเอกสารปกปิดหลายชิ้นของวาติกัน
เอกสารที่เก่าแก่ที่สุดที่ถูกเก็บไว้นับย้อนหลังไปถึงศตวรรษที่ 8 ซึ่งมีการกล่าวถึง
“จอห์น มิลตัน” นักประพันธ์ชาวอังกฤษผู้แต่ง
“Paradise Lost” ว่าเป็นคนทิ้งรอย (clue) ในลักษณะของร้อยกรองลับแบบไอแอมป์ห้าคณะ (iambic pentameter) อีกด้วย
มีการใช้สัญลักษณ์ความสมดุลแบบ
“แอมบิแกรม” และ “ดาวห้าแฉก” ที่มีลักษณะสมบูรณ์แบบและเป็นคณิตศาสตร์
ว่าเป็นสัญลักษณ์ของสมาคมลับ illuminati ที่มีการต่อต้านศาสนาจักร
หลักฐานเท่าที่มีและหาได้ถือเป็นแสดงการยืนยันตัวตนของ illuminati
"เซิร์น"
กับปฏิบัติการค้นหาต้นตอจักรวาล
เซิร์น* Cern - Conseil Europeen pour la
Recherché Nucleaire (องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศในยุโรปเพื่อการวิจัยและพัฒนาด้านนิวเคลียร์) ในนวนิยาย "เทวากับซาตาน" ของ
"แดน บราวน์" ออกมาโลดแล่นผ่านหน้าหนังสือสู่สายตาผู้อ่าน
แต่เมื่อเรื่องราวดังกล่าวถูกนำมาเผยแพร่อีกครั้งในแผ่นฟิล์ม ทำให้นักวิทยาศาสตร์ต้องออกมาชี้แจงอีกครั้ง
ถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ "ปฏิสสาร" ที่ในเรื่อง
ถูกนำเสนอให้เป็นอาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูง
"เทวากับซาตาน" (Angels & Demons) นิยายแนวระทึกขวัญของ "แดน บราวน์" (Dan Brown) ที่ล้วงลึกข้อมูลภายในของ "วาติกัน"
ผู้นำแห่งคริสตจักร และ "เซิร์น"
(องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศในทวีปยุโรปเพื่อวิจัยและพัฒนาทางด้านนิวเคลียร์ -
European Center for Nuclear Research : CERN) ผู้นำแห่งโลกวิทยาศาสตร์
ซึ่งทั้ง 2 องค์กร มีความเชื่อในจุดกำเนิดจักรวาลที่ต่างกันคนละขั้ว
สิ่งที่ฝ่ายวิทยาศาสตร์ได้สร้างขึ้น
เพื่อค้นหาต้นตอแห่งจุดกำเนิดของจักรวาลนั่นก็คือ "ปฏิสสาร" (antimatter) โดยห้องแล็บของเซิร์นในภาพยนตร์ได้สร้างปฎิสสารมากถึง
1 กรัม ซึ่งมีความร้ายแรงเทียบเท่าระเบิดไดนาไมต์ 5,000 ตัน
นับว่ามากเพียงพอที่จะทำให้กลุ่มองค์กรลับนามว่า "อิลูมิเนติ" (Illuminati) นำมาใช้ข่มขู่ระหว่างการเลือกตั้งพระสันตปาปาองค์ใหม่
เพื่อทำลายล้างให้นครวาติกันหายไปในพริบตา
- ความขัดแย้งระหว่างคริสต์จักรกับวิทยาศาสตร์
สมัยพระสันตะปาปาท่านยังเป็นบาทหลวงหนุ่ม
ท่านพบรักกับแม่ชีนางหนึ่ง แต่ด้วยความที่ทั้งสองต่างก็ถวายตัวรับใช้พระเจ้าแล้ว
จึงไม่อาจละเมิดความบริสุทธิ์ซึ่งกันและกันได้
กระนั้นทั้งสองต่างก็อยากมีลูกด้วยกัน
จนกระทั่งวันหนึ่งมีข่าวเกี่ยวกับการผสมเทียม
ทั้งสองจึงตกลงใช้วิธีนี้มีลูกด้วยกันโดยไม่ละเมิดต่อพรหมจรรย์ของกันและกัน
ด้วยความที่บทบาทหน้าที่ของบาทหลวงท่านนี้มีมาก
ท่านจึงไม่สามารถมาดูแลลูกและภรรยาได้ตลอดเวลา ลูกชายจึงต้องอยู่กับแม่
แต่ต่อมาระหว่างที่สองแม่ลูกกำลังสวดมนต์อยู่ในโบสถ์
มีระเบิดจากผู้ก่อการร้ายตกใส่โบสถ์ ทำให้ผู้เป็นแม่เสียชีวิต
บาทหลวงท่านทราบเรื่องจึงขอรับอุปการะลูกชายของท่านเองโดยไม่เปิดเผยต่อเด็กว่าท่านเป็นพ่อแท้ๆ
ต่อมาบาทหลวงท่านนี้เป็นหนึ่งในผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งให้เป็นสมเด็จพระสันตะปาปา
โดยมีพระคาร์ดินัลมอร์ตาติเป็นผู้ตรวจสอบประวัติผู้มีสิทธิรับเลือกอย่างลับๆ
ซึ่งก็พบว่าบาทหลวงท่านนี้มีลูกกับนางชี จึงเรียนถามตรงๆ
แต่ก็ได้รับคำตอบว่าให้มอร์ตาติตัดสินใจเองว่าท่านได้กระทำการละเมิดพระผู้เป็นเจ้าหรือไม่
มอร์ตาติเห็นว่าทั้งท่านและแม่ชีผู้นั้นมิได้ละเมิดพรหมจรรย์ซึ่งกันและกัน
จึงยอมเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับเสีย
ต่อมาบาทหลวงท่านนี้ก็ได้รับเลือกให้เป็นสมเด็จพระสันตะปาปา
เด็กคนนั้นก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นคาเมอร์เลโญ หรือกรมวังประจำพระองค์
ด้วยความที่สมเด็จท่านรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณต่อวิทยาศาตร์ที่ทำให้ลูกของท่านได้เกิดมาอย่างปาฏิหาริย์
จึงสนับสนุนการทดลองของเซิร์นอย่างเต็มที่
รวมทั้งเรื่องปฏิสสารที่จะพิสูจน์ว่าการสร้างโลกในพระคัมภีร์ปฐมกาลเป็นเรื่องที่เป็นไปได้
ซึ่งคาเมอร์เลโญท่านคัดค้านเรื่องนี้อย่างมากด้วยเป็นการนำวิทยาศาสตร์มายุ่งกับศาสนาซึ่งควรเป็นเรื่องของจิตวิญญาณล้วนๆ
อีกทั้งท่านก็มีปมฝังใจเรื่องระเบิดที่ทำให้แม่ของท่านเสียชีวิตอีกด้วย
สมเด็จท่านจึงยอมเปิดเผยว่าที่ท่านสนับสนุนวิทยาศาสตร์ก็เพราะวิทยาศาตร์ทำให้ท่านสามารถมีลูกได้
แต่ท่านคาเมอร์เลโญทนฟังได้แค่ว่าสมเด็จท่านมีลูก
ก็ช็อคและรังเกียจจนทนไม่ไหววิ่งหนีออกไปโดยไม่ทันฟังให้จบ
หลังจากหนีซมซานไป
ท่านแว่วไปว่าได้เสียงพระผู้เป็นเจ้าเรียกร้องให้ท่านนำศรัทธากลับคืนสู่ศาสนาอย่างที่เคยเป็น
ท่านจึงตัดสินใจกำจัดคนที่ละเมิดพระผู้เป็นเจ้า คนแรกนั้นก็คือสมเด็จท่าน
ฐานกระทำการทำให้ตนเองไม่บริสุทธิ์แล้วยังบังอาจรับตำแหน่งพระสันตะปาปา
ต่อมาท่านเล็งเห็นว่าปฏิสสารที่เซิร์นกำลังทดลองเป็นสิ่งอันตรายอย่างยิ่ง
ทั้งต่อชีวิตและศรัทธาที่คนทั่วโลกมีต่อคริสตจักร
อีกทั้งพระคาร์ดินัลที่เป็นตัวเต็งจะได้รับเลือกตั้งเป็นพระสันตะปาปาก็ล้วนหัวเสรีนิยมสมัยใหม่ที่ไม่ค่อยสนใจพิธีกรรมสมัยเก่าอีกแล้ว
ท่านจึงคิดว่าสิ่งเหล่านี้ขวางกั้นมิให้ผู้คนเข้าถึงศรัทธาที่มีต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง
จึงดำเนินการจ้างวานนักฆ่าอย่างลับๆโดยไม่เปิดเผยตัวเอง
ให้ขโมยปฏิสสารออกจากเซิร์นมาวางไว้ที่วาติกัน แล้วลักพาตัวพระคาร์ดินัลตัวเต็ง 4 คนแล้วลงมือสังหารตามวิธีการที่จะสื่อถึงอิลลูมินาติ
เพื่อให้คนทั่วไปเห็นว่าเป็นฝีมือของฝ่ายที่คลั่งไคล้วิทยาศาสตร์และต่อต้านศาสนาอย่างสุดขั้วจนนำไปสู่การนองเลือด
เพื่อให้คนเสื่อมความนิยมต่อวิทยาศาสตร์และหันกลับมาศรัทธาในพระเจ้าและคริสตจักรดังที่ท่านปรารถนา
แต่ไหนแต่ไรมา
ศาสนา (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คริสต์ศาสนา) กับ วิทยาศาสตร์ มักจะทำตัวเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาโดยตลอด
ต่างฝ่ายต่างมุ่งค้นหาเหตุผลและหลักฐานมาหักล้างความเชื่อของกันและกัน
ต่างฝ่ายต่างก็ยืนอยู่ตรงข้ามกันในฐานะปฏิปักษ์มาช้านาน หลายศตวรรษที่ผ่านมา
นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่หลายต่อหลายคนอย่าง กาลิเลโอ, ชาร์ลส์ ดาร์วิน และเซอร์ไอแซก นิวตัน
ต่างก็ถูกรังควาญด้วยการจับมาขึ้นศาลศาสนา ถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว
และหมายหัวมาโดยตลอด ที่หนักหนาสาหัสชวนสยดสยองที่สุดก็คือการถูกเผาทั้งเป็น
อย่างนักปรัชญามนุษยนิยม จิออร์ดาโน บรูโน ตอนสิ้นศตวรรษที่ 16
ด้วยมีความคิดที่ขัดแย้งและดูจะเป็นการท้าทายความเชื่อของศาสนจักร
แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ตอบโต้ด้วยการนำเสนอทฤษฎีต่างๆ นาๆ
ที่ทำให้ความเชื่อเหล่านั้นกลายเป็นเรื่องเหลวไหลงมงาย ไร้สาระไปได้เลยทีเดียว
แต่ในปัจจุบัน
ศาสนจักรมิได้มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายเหมือนดั่งในอดีต
อีกทั้งเส้นแบ่งระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนาค่อยๆ เลือนหายไป
เริ่มมีการเปรียบเทียบและเชื่อมโยงการค้นพบทางวิทยาศาสตร์เข้ากับความเชื่อหรือประสบการณ์ทางศาสนามากขึ้น
ใน Da Vinci Code โรเบิร์ต แลงดอน ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสัญวิทยา
จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ใช้ความสามารถในการถอดรหัสจากงานศิลปะจนนำไปสู่การเปิดเผยปริศนาอันลี้ลับและอื้อฉาวจนท้าทายความเชื่อของคริสต์ศาสนาอย่างยิ่ง
แต่ใน Angles & Demons เขากลับมาเพื่อใช้ความสามารถที่มี
ในการปกป้องสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์และทรงความสำคัญสูงสุดของคริสตจักรอย่าง ‘วาติกัน’ จากการก่อการร้ายขององค์กรลับอันเก่าแก่
ผู้ตั้งตนเป็นศัตรูของคริสตจักรมาช้านานอย่าง ‘อิลลูมินาติ’ ที่มุ่งร้ายหมายจะทำลายวาติกันด้วยสิ่งประดิษฐ์ทางเทคโนโลยีที่มีอานุภาพในการทำลายล้างมหาศาลอย่าง
‘ปฏิสสาร’ (Anti-Matters) ซึ่งขโมยมาจากองค์กรอย่าง
เซิร์น (คิดดูว่า แค่การทดลองเร่งชนอานุภาคยังทำให้คนแตกตื่นกันได้ขนาดนี้
แล้วปฏิสสารที่ว่ากันว่าหากมันสัมผัสกับสสารในจำนวนหนึ่งกรัมจะมีพลังเทียบเท่ากับระเบิดนิวเคลียร์
20 ตัน อิลลูมินาติ ปรากฏโฉมขึ้นหลังจากถูกคิดว่าสาบสูญไปช้านาน
เพื่อวางแผนลักพาตัวและสังหารตัวเก็งในการคัดเลือกประมุขสูงสุดของคริสตจักรคนใหม่
ตามแบบอย่างของพิธีกรรมอันสยดสยองที่มีมาแต่โบราณ ศาสตราจารย์แลงดอนจึงต้องอสืบหาความลับผ่านเอกสารล้ำค่าทางวิทยาศาสตร์
ไปจนถึงผลงานศิลปะชั้นครูทั่วกรุงโรม
เพื่อไขปริศนาที่จะช่วยเหลือตัวประกันก่อนจะถูกสังหาร และก่อนที่นครวาติกันจะถูกระเบิดเป็นผุยผง
ด้วยความช่วยเหลือจากนักวิทยาศาสตร์สาวแห่งเซิร์น วิตโตเรีย เวตรา
และเลขาแห่งองค์สันตะปาปาอย่างบาทหลวง คาเมอร์เลโญ
อาจจะกล่าวได้ว่าศาสนาคริสต์ตั้งอยู่บนหลักการทางเทววิทยาว่า
พระเจ้าสร้างโลกขึ้นมาตามหลักการของเหตุผล
และเมื่อสร้างขึ้นมาแล้วก็ปล่อยให้โลกดำเนินไปตามครรลองของเหตุผลนั้น
และในเมื่อมนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาตามฉายาของพระเจ้า มนุษย์ก็มีเหตุผล
มีความสามารถที่จะเข้าใจการทำงานของโลกตามที่พระเจ้าสร้างได้ กาลิเลโอบอกว่า
หัวใจของการทำงานของเขาคือ พยายามหาความหมายจากธรรมชาติ
พระเจ้าเขียนโลกเหมือนกับเขียนหนังสือ
และภาษาที่พระเจ้าใช้เขียนคือภาษาของคณิตศาสตร์
หากไม่มีการมองโลกแบบเป็นคณิตศาสตร์ วิชาฟิสิกส์ก็จะเกิดขึ้นไม่ได้
และวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็จะเกิดขึ้นไม่ได้เช่นเดียวกัน
วิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่ดี วิทยาศาสตร์สร้างความสะดวกสบายให้แก่ชีวิตมนุษย์
ช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความงมงาย แต่วิทยาศาสตร์ไม่ใช่คำตอบของทุกสิ่งทุกอย่าง
วิทยาศาสตร์ล้มล้างเรื่องเทพเจ้าแห่งภูเขาไฟ
ได้ชี้ให้เห็นว่าเรื่องยักษ์แอตาสที่แบกโลก
และเป็นต้นเหตุแห่งแผ่นดินไหวไม่เป็นความจริง วิทยาศาสตร์ทำให้มนุษย์ไม่เชื่อ อีกต่อไปว่า
มีเทพเจ้าต่าง ๆ อยู่บนเทือกเขาโอลิมปัสหรือเทพเจ้าโพไซดอนอยู่ในท้องทะเล
แล้วพระเจ้าของคริสเตียนถูกสั่นคลอนด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ด้วยกระนั้นหรือ
ไม่ใช่เลย หากแต่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์กลับทำให้มนุษย์ก้าวเข้าใกล้
"พระปัญญา" ของพระเจ้ามากยิ่งขึ้นเสียอีก
นาย กิตติทัต แก้วมณี 601011228
วิชาเอกประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์